เคมี : ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
ของแข็ง
- ของแข็งจับยึดกันได้อย่างแข็งแรง เป็นสถานะที่โมเลกุลเคลื่อนที่ได้น้อยที่สุด ลักษณะการจัดเรียงตัวของโมเลกุลของของแข็งน่าจะเป็นอย่างไร มีระเบียบมากหรือน้อยกว่าสถานะอื่นๆ อย่างไร(การจัดเรียงตัวของโมเลกุลในสถานะของแข็งนั้นจะแน่นหนา และแข็งแรงกว่าสถานะอื่นๆ จึงทำให้ของแข็งสามารถคงรูปร่างไว้ได้ โดยไม่ไหล หรือเปลี่ยนรูปร่างไปมาได้โดยง่ายเหมือนของเหลว และแก๊ส)
* ของแข็งอสัณฐาน คือ ของแข็งที่อนุภาคจัดเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบ* ผลึก คือ ของแข็งที่อนุภาคจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
ดังนั้นอาจจะแยกของแข็งที่เป็นระเบียบและไม่เป็นระเบียบออกจากกัน
นอกจากนี้ของแข็งชนิดอื่นๆ ก็สามารถพบว่ามีอัญรูปได้เช่นเดียวกัน เช่น กำมะถัน หรือฟอสฟอรัส เป็นต้น ลองค้นคว้าหาอัญรูปแบบอื่นๆ ของของแข็งชนิดต่างๆ ดู
กำมะถันนั้นมีรูปแบบที่เป็นผลึกอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ กำมะถันแอลฟา และกำมะถันบีตา ซึ่งเกิดจากการจัดเรียงตัวที่ต่างกัน ส่งผลให้มีคุณสมบัติบางประการไม่เหมือนกันด้วย เช่น สี จุด หลอมเหลว ความหนาแน่น
หนึ่งโมเลกุลของกำมะถัน ประกอบด้วย 8 อะตอมต่อกันเป็นวง โดยกำมะถันที่เป็นผลึกจะมีอยู่ 2 อัญรูป คือ
1) กำมะถันแอลฟา หรือกำมะถันรอมบิก (Rhombic sulphur) ผลึกจะมีลักษณะเป็นรูป สี่เหลี่ยม2) กำมะถันบีตา หรือกำมะถันมอนอคลินิก (Monoclinic sulphur) ผลึกจะมีลักษณะเป็นรูปเข็ม
ซึ่งผลึกทั้ง 2 อัญรูปนี้จะมีสมบัติที่แตกต่างกัน คือ
สมบัติ | กำมะถันรอมบิก | กำมะถันมอนอคลินิก |
รูปผลึก | เหลี่ยม | เข็ม |
สี | เหลืองอ่อน | เหลืองเข้ม |
ความหนาแน่นจุด | 2.07 กรัม/cm 3 | 1.96 กรัม/cm 3 |
หลอมเหลว | 112.8 ๐C | 119 ๐C |
จุดเดือด | 444.6 ๐C | 444.6 ๐C |
การนำไฟฟ้า | ไม่นำไฟฟ้า | ไม่นำไฟฟ้า |
ผลึกฟอสฟอรัสนั้นพบอยู่ 3 แบบ คือ ฟอสฟอรัสขาว ฟอสฟอรัสแดง และฟอสฟอรัสดำ
- ฟอสฟอรัสขาว หรือฟอสฟอรัสเหลือง ประกอบด้วยฟอสฟอรัส 4 อะตอม มีสูตรโมเลกุล P 4- ฟอสฟอรัสแดง มีโครงสร้างเป็นสายยาวต่อกันไป
- ฟอสฟอรัสดำ มีโครงสร้างแบบโครงผลึกร่างตาข่าย
สมบัติ | ฟอสฟอรัสขาว | ฟอสฟอรัสแดง | ฟอสฟอรัสดำ |
ลักษณะ | ของแข็งสีขาว หรือเหลือง | ของแข็งสีแดง | ของแข็งสีดำ |
จุดหลอมเหลว | 44 ๐C | 590 ๐C ( ที่ความดันสูง) | 610 ๐C |
ความหนาแน่น | 1.82 กรัม/cm 3 | 2.34 กรัม/cm 3 | 2.70 กรัม/cm 3 |
การนำไฟฟ้า | ไม่นำไฟฟ้า | ไม่นำไฟฟ้า | นำไฟฟ้าเล็กน้อยที่อุณหภูมิสูง |
ของเหลว
สมบัติของเหลว
1. ของเหลวมีปริมาตรคงที่ แต่รูปร่างไม่คงที่2. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมากกว่าก๊าซแต่น้อยกว่าของแข็ง3. การแพร่จะช้ากว่าก๊าซ แต่เร็วกว่าของแข็ง4. ความหนาแน่นมากกว่าก๊าซ แต่น้อยกว่าของแข็ง5. เมื่อนํามาผสมกัน ปริมาตรก่อนและหลังอาจเท่าหรือไม่เท่ากันก็ได้6. ปริมาตรจะเปลี่ยนแปลงไปน้อยเมื่ออุณหภูมิและความดันเปลี่ยน
การระเหย จะเกิดบริเวณผิวหน้าของเหลว เนื่องจากโมเลกุลบริเวณนั้นมีพลังงานสูงพอที่จะเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลจึงหลุดกลายเป็นไอ
จุดเดือด เป็นอุณหภูมิที่ของเหลวเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอ ขณะนั้นความดันไอของเหลวต้องเท่ากับความดันบรรยากาศ
ความดันไอ จะเกิดในขณะของเหลวกลายเป็นไอ จะมากน้อยขึ้นอยู่กับ
1. ชนิดของของเหลว2. อุณหภูมิของเหลว3. พื้นที่ผิว
จุดเดือดของเหลว P บรรยากาศ
1/P ไอของเหลว
สมดุลไดนามิก มักเป็นภาวะสมดุลของของเหลวที่จะมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าเท่ากับอัตราการเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของของเหลว มีผลต่อสมบัติที่สำคัญของของเหลวนั้น ได้แก่ แรงตึงผิว (Surface tension) และความหนาแน่น (Density) ถ้าโมเลกุลของของเหลวนั้นมีแรงยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันมาก ก็จะทำให้ความหนาแน่นและแรงตึงผิวของของเหลวนั้นมีค่าสูง เพราะโมเลกุลสามารถถูกดึงดูดให้อยู่ใกล้ชิดกันได้มาก นอกจากนั้น เมื่อความหนาแน่นและแรงตึงผิวมี ค่ามาก จะทำให้ของเหลวนั้นมีความหนืด (Viscosity) สูง
ค่าความหนาแน่น ความหนืด และแรงตึงผิวนี้ จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ โดยจะแปรผกผันกับอุณหภูมิ เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้โมเลกุลแต่ละโมเลกุลมีพลังงานสูงขึ้น สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างอิสระมากขึ้น ทำให้โมเลกุลขยับออกห่างจากกันมากขึ้นไปด้วย ด้วยเหตุนี้ความหนาแน่น ความหนืด และแรงตึงผิวของของเหลวนั้นจึงลดลง นอกจากนี้ เรายังสามารถลดแรงตึงผิวของของเหลวได้โดยการเติมสารลดแรงตึงผิวลงไปในของเหลวนั้น ตัวอย่างเช่น น้ำสบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เป็นต้น
เมื่อพิจารณาถึงโมเลกุลในภาชนะ โมเลกุลของของเหลวจะมีแรงยึดเหนี่ยวกันระหว่างโมเลกุลในทุกทิศทุกทาง แต่โมเลกุลที่อยู่บริเวณผิวหน้าของของเหลวจะมีแรงยึดเหนี่ยวกับโมเลกุล ด้านข้างและด้านล่างเท่านั้น แรงยึดเหนี่ยวจากด้านบนนั้นไม่มี แรงที่ดึงผิวหน้าของของเหลวเข้ามาภายในนี้จะเรียกว่า แรงตึงผิว โดยสังเกตได้จากเมื่อใส่น้ำในกระบอกตวง ผิวหน้าของน้ำจะมีลักษณะโค้งลง หรือหยดน้ำบนใบบัว หรือบนแผ่นกระจกจะมีลักษณะเป็นทรงกลมหรือทรงรีก็เพราะแรงตึงผิวของ
น้ำจะพยายามดึงผิวของของเหลวเข้ามาทุกทิศทาง และทรงกลมจะเป็นรูปที่มีพื้นที่ผิวน้อยที่สุดนั่นเอง
ก๊าซ
ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความดัน และปริมาตรของแก๊ส
- ปริมาตร ความดัน และอุณหภูมิของแก๊ส มีความสัมพันธ์กันอย่างไร(แก๊สต่างๆ นั้นจะมีความสัมพันธ์ระหว่าง ปริมาตร ความดัน และอุณหภูมิ อย่างใกล้ชิด โดยความสัมพันธ์จะแบ่งเป็นคู่ความสัมพันธ์ เมื่อให้ปริมาตรของแก๊สคงที่ตลอดการพิจารณา)
1) ปริมาตร- ความดัน ความสัมพันธ์นี้เสนอโดย รอเบิร์ต บอยล์ (Robert Boyle, 1662) กล่าวไว้ว่า “ เมื่ออุณหภูมิและจำนวนอนุภาคคงที่ ปริมาตรของแก๊สใดๆ จะแปรผกผันกับความดันของแก๊สนั้นๆ” ดังสมการ
หรือ
ดังนั้น PV = k
เมื่อ V คือ ปริมาตร
P คือ ความดัน
k คือ ค่าคงที่
P คือ ความดัน
k คือ ค่าคงที่
2) อุณหภูมิ- ปริมาตร ความสัมพันธ์นี้ค้นพบโดย ชาร์ล (Jacques Charles, 1787) ที่กล่าวไว้ว่า “ เมื่อความดันและจำนวนอนุภาคคงที่ ปริมาตรของแก๊สใดๆ จะแปรผันตรงกับอุณหภูมิ เคลวิน” ดังสมการ
หรือ V = kT
ดังนั้น
เมื่อ V คือ ปริมาตร
P คือ ความดัน
k คือ ค่าคงที่
P คือ ความดัน
k คือ ค่าคงที่
3) อุณหภูมิ- ความดัน ความสัมพันธ์นี้ค้นพบโดย เกย์ - ลุสแซก (Joseph-Louis Gay-Lussac, 1802) ที่กล่าวไว้ว่า “ เมื่อปริมาตร และจำนวนอนุภาคคงที่ ความดันของแก๊สใดๆ จะแปรผันตรงกับอุณหภูมิเคลวิน”ดังสมการ
หรือ P = kT
ดังนั้น
เมื่อ P คือ ความดัน
T คือ อุณหภูมิ
k คือ ค่าคงที่
T คือ อุณหภูมิ
k คือ ค่าคงที่
จากกฎทั้งสาม เมื่อนำมารวมกันจะนำไปสู่กฎรวมของแก๊ส นั่นคือ
ดังนั้น
(การทำงานของลูกสูบ เริ่มจากการปล่อยให้ไอของเชื้อเพลิงไหลเข้าไปในกระบอกสูบ เมื่อกระบอกสูบอัดตัวเข้ามา หัวเทียนก็จะจุดระเบิดเชื้อเพลิงได้เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้ำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิสูง ดังนั้นปริมาตรของกระบอกสูบก็จะขยายออกอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงมีการระบายแก๊สออกไปยังท่อไอเสีย การทำงานที่สัมพันธ์กันนี้ เมื่อกระบอกสูบหดและขยายตัวสลับกันไป ก็จะทำให้ก้านสูบไปดันให้เกิดการหมุนของล้อและเพลาได้อย่างต่อเนื่อง)
สรุปทฤษฎีต่างๆ ของก๊าซ
- กฎของบอยล์ ( Boyle ‘s Law) “ เมื่ออุณหภูมิและมวลคงที่ ปริมาตรของก๊าซใด ๆ จะแปรผกผันกับความดัน”
เมื่อ T และ คงที่
P 1V 1 = P 2V 2
- กฎของชาร์ล ( Charle ‘s Law) “ เมื่อความดันและมวลของก๊าซคงที่ ปริมาตรของก๊าซจะแปรผันตรงกับคุณหภูมิเคลวิน”
เมื่อ P และ nคงที่
- กฎของเกย์ลุสแสค ( Gay-Lussac ‘s Law) “ ความดันของก๊าซใดๆ จะแปรผันตรงกับอุณหภูมิเคลวินเมื่อปริมาตรและมวลของก๊าซคงที่”
เมื่อ V และ n คงที่
- กฎของก๊าซ (Gas Law)
กฎของก๊าซ สมบัติของแก๊สที่ได้จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสาม คือ บอยล์ ชาร์ล และเกย์-ลูสแซก นำมารวมกันเป็นกฎของแก๊ส จะได้กฎของแก๊ส คือ
(เมื่อปริมาณหรือจำนวนโมเลกุลของแก๊สคงที่)
และจะได้
จากความสัมพันธ์ ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า เป็นค่าคงที่ ซึ่งค่าคงที่ตัวนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนโมเลกุลของแก๊สในภาชนะ (N) ทีใช้ทดลอง คือ ถ้าจำนวนโมเลกุลเปลี่ยนไปค่า ต้องเปลี่ยนไปด้วย เช่น การรั่วของแก๊สจากลูกโป่งทำให้ปริมาตรของลูกโป่งลดลง และความดันภายในลูกโป่งลดลงด้วย
ให้ N เป็นจำนวนโมเลกุลของแก๊สในภาชนะ
ให้ N เป็นจำนวนโมเลกุลของแก๊สในภาชนะ
ดังนั้น
- ทฤษฎีจลน์ของก๊าซ
- ก๊าซประกอบด้วยโมเลกุลขนาดเล็กมากและอยู่ห่างกัน
- ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของก๊าซ
- โมเลกุลของก๊าซเคลื่อนที่ตลอดเวลาโดยเป็นเส้นตรง
- เมื่อโมเลกุลชนกันจะไม่มีการสูญเสียพลังงานจลน์
- พลังงานจลน์เฉลี่ยของก๊าซแปรผันตรงกับอุณหภูมิเคลวิน และที่อุณหภูมิเดียวกันก๊าซทุกชนิดมีพลังงานจลน์เฉลี่ยเท่ากัน
พลังงานจลน์เฉลี่ย = 1/2 mv 2
= 3/2 kT
k = ค่าคงที่ของ Botzman
= 1.39 X 10 -23 J/K.mol
การแพร่ของแก๊ส
เรื่องการแพร่ของแก๊สนี้สามารถแสดงให้เห็นได้ง่ายๆ โดยอาศัยแก๊สที่มีสี อาจจะใช้เกล็ดไอโอดีนให้ระเหิดและกระจายตัวออกไปก็ได้ เพื่อให้นักเรียนได้เห็นถึงการเคลื่อนที่ของแก๊สว่ามี ทิศทางอย่างไร ได้อย่างชัดเจน และเข้าใจได้มากขึ้น หรืออาจทดลองได้ง่ายๆ โดยใช้สารละลาย แอมโมเนียเข้มข้น (conc NH 3) กับสารละลาย กรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น (conc HCl) โดยใช้ไม้พันสำลีชุบสารละลายแอมโมเนียเข้มข้น และไม้พันสำลีชุบสารละลายกรดไฮโดรคลอริก เข้มข้น นำไม้พันสำลีทั้งสองไปปิดที่ปลายของหลอดแก้วปลายเปิดทั้งสองด้าน ดังภาพ
สารละลายกรด ไฮโดรคลอริก (HCI ) | |||||
|
เนื่องจากทั้งสารละลายแอมโมเนียเข้มข้นและสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นกลายเป็น ไอได้ง่าย ( ไอแอมโมเนียและไอไฮโดรเจนคลอไรด์) ไอที่เกิดขึ้นจะแพร่ไปตามหลอดแก้ว เมื่อไอทั้งสองสัมผัสกัน ก็จะเกิดปฏิกิริยากลายเป็นแอมโมเนียมคลอไรด์ ซึ่งสังเกตได้เพราะเป็นของแข็งสีขาว แล้ววัดระยะของของแข็งจะพบว่าแก๊สแอมโมเนียแพร่มาได้ไกลกว่า เนื่องจากมวลโมเลกุลน้อยกว่านั่นเอง ( มวลโมเลกุลของแอมโมเนีย คือ 17 และมวลโมเลกุลของกรดไฮโดรคลอริก คือ 36.5)
- กฎการแพร่ของก๊าซของเกรแฮม (Graham ‘s Law of Diffusion of Gas)“ เมื่ออุณหภูมิและความดันคงที่ การแพร่ของก๊าซใด ๆ จะแปรผกผันกับรากที่ 2 ของมวลโมเลกุล หรือความหนาแน่นของก๊าซนั้น
หรือ
r = อัตราการแพร่ของก๊าซ
M = มวลโมเลกุลของก๊าซ
D = ความหนาแน่นของก๊าซ
หน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับก๊าซ
ปริมาตร 1 ลิตร = 1 dm 3
= 1000 มิลลิลิตร
= 1000 CC.
= 1000 cm3
ความดัน 1 บรรยากาศ = 760 มม. ปรอท
= 76 ซม. ปรอท
= 760 ทอร์
= 14.7 ปอนด์/ ตารางนิ้ว
ความดันย่อยของแก๊สผสม
ความดันของแก๊สผสม ย่อมเกิดจากความดันย่อยของแก๊สแต่ละชนิด อาจจะยกตัวอย่างให้เห็นได้ง่ายๆ โดยอาศัยอากาศมาอธิบาย เนื่องจากอากาศเองก็มีความดัน และองค์ประกอบของอากาศก็มีมากมายอันได้แก่ แก๊สชนิดต่างๆ เช่น ไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
ตาราง ร้อยละของแก๊สองค์ประกอบในบรรยากาศโลก
แก๊ส | ร้อยละโดยปริมาตรของแก๊สองค์ประกอบในบรรยากาศโลก |
ไนโตรเจน ( N2 ) ออกซิเจน ( O2 ) คาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 ) อาร์กอน ( Ar ) ไอน้ำ ( H 2O ) คาร์บอนมอนนอกไซต์ ( CO ) นีออน ( Ne ) | 78.80 20.95 0.036 0.930 0-4 น้อยมาก 0.002 |
ความดันบรรยากาศ เกิดจากความดันย่อยของแก๊สแต่ละชนิดรวมกันนั่นเอง